ไขข้อสงสัย: หลุมสิวหายเองได้ไหม?
	หลุมสิวเป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่พบได้บ่อยหลังจากการเป็นสิว โดยเฉพาะในผู้ที่มีสิวประเภทที่มีการอักเสบอย่างรุนแรง เช่น สิวอักเสบ หรือสิวหนอง ซึ่งมักทิ้งรอยหลุมหรือแผลเป็นไว้บนผิวหน้า หลุมสิวทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียน และหลายคนมักจะมีคำถามว่า หลุมสิวหายเองได้ไหม และจะทำอย่างไรให้หลุมสิวหายเร็วและไม่ทิ้งรอยยาวนาน 
	การรักษาหลุมสิวให้หายเร็วขึ้น
	  
	ถึงแม้หลุมสิวบางครั้งอาจจะหายเองได้ แต่การเร่งกระบวนการฟื้นฟูผิวก็สามารถช่วยให้หลุมสิวจางลงและหายเร็วขึ้น การรักษาหลุมสิวมีหลายวิธีที่สามารถทำได้ทั้งที่บ้านและในคลินิก ดังนี้ 
	1. การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยฟื้นฟูผิว
	การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมช่วยฟื้นฟูผิว เช่น วิตามินซี, เรตินอยด์ (Retinoid), หรือ ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) จะช่วยในการกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่และลดรอยหลุมสิวได้ดี วิตามินซีจะช่วยให้ผิวกระจ่างใสและลดรอยแผลเป็น ส่วนเรตินอยด์จะช่วยในการผลัดเซลล์ผิว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่จำเป็นต่อการซ่อมแซมผิว 
	ผลิตภัณฑ์ที่มีกรดผลไม้ (AHAs) หรือกรดซาลิไซลิก (BHA) ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตันของรูขุมขน ช่วยป้องกันการเกิดสิวใหม่และลดการเกิดรอยแผลเป็น 
	2. การทำทรีตเมนต์ที่คลินิก
	หากหลุมสิวมีความลึกหรือไม่หายเอง การทำทรีตเมนต์ที่คลินิกอาจเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ เช่น การทำ เลเซอร์ หรือ การทำ Microdermabrasion 
	เลเซอร์ (Laser treatment) เช่น Fractional CO2 Laser เป็นการรักษาที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึก ช่วยลดรอยหลุมสิวและปรับผิวให้เรียบเนียนขึ้น 
	Microdermabrasion คือการขัดผิวหน้าโดยใช้เครื่องมือที่มีการสั่นสะเทือนหรือใช้สารเคมีในการขัดผิวชั้นนอก เพื่อกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวและลดรอยแผลเป็น 
	PRP (Platelet-Rich Plasma) คือการใช้เกล็ดเลือดจากตัวผู้ป่วยเองเพื่อช่วยกระตุ้นการฟื้นฟูผิว ซึ่งสามารถใช้ในการรักษารอยหลุมสิวได้ดี 
	3. การดูแลผิวอย่างเหมาะสม
	การดูแลผิวให้สะอาดและมีสุขภาพดีเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาหลุมสิว ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหน้าบ่อยๆ หรือการบีบสิว เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบหรือการติดเชื้อซ้ำ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิว และการทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันการเกิดรอยดำจากหลุมสิวที่อาจทำให้รอยเดิมดูชัดเจนขึ้น 
 
                              
 
  |